เทรนด์อุตสาหกรรมการอบรมปี 2025
ในยุคดิจิทัลที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การพัฒนาทักษะและศักยภาพของบุคลากรไม่ใช่เพียงเรื่อง “เสริม” แต่เป็นปัจจัยหลักที่กำหนดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร การฝึกอบรมที่มีคุณภาพช่วยให้องค์กรปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคมได้อย่างยั่งยืน
ข้อมูลจาก Training Industry (2025 State of Corporate Training Market Report) ระบุว่า มูลค่าตลาดการฝึกอบรมทั่วโลกในปี 2024 อยู่ที่ 401 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเติบโตเป็น 403.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 แม้จะเป็นการเติบโตเพียงเล็กน้อย แต่สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการลงทุนด้านการเรียนรู้ที่ยังคงต่อเนื่อง
สำหรับองค์กรไทย เหตุผลที่ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรคือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงงาน การขาดแคลนทักษะดิจิทัล และการแข่งขันในระดับภูมิภาคที่เข้มข้น การสร้างระบบการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์จึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์
ขนาดตลาดและสถิติสำคัญ
อุตสาหกรรมการอบรมทั่วโลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ทั้งด้านขนาดตลาดและผลกระทบต่อธุรกิจ
- มูลค่าตลาดโลก: จาก 401 พันล้านดอลลาร์ (2024) สู่ 403.2 พันล้านดอลลาร์ (2025)
- ค่าใช้จ่ายในสหรัฐฯ: ลดลงเกือบ 4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 หลังจากพุ่งสูงสุดที่ 101.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023
- ผลลัพธ์ต่อองค์กร:
- บริษัทที่มีโปรแกรมฝึกอบรมครบวงจรมีรายได้ต่อพนักงานสูงกว่า 218%
- พนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมช่วยให้องค์กร มีประสิทธิภาพมากขึ้น 17% และ มีกำไรเพิ่มขึ้น 21%
- บริษัทที่มีโปรแกรมฝึกอบรมครบวงจรมีรายได้ต่อพนักงานสูงกว่า 218%
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าการลงทุนใน “การเรียนรู้” ไม่เพียงแต่สร้างความรู้ แต่ยังสร้าง “ผลตอบแทนทางธุรกิจ” ที่จับต้องได้
7 เทรนด์หลักในปี 2025
1. AI-Driven Learning Transformation
AI ได้กลายเป็นหัวใจของการเรียนรู้ยุคใหม่ ปัจจุบัน 49% ของฝ่าย HR ในสหรัฐฯ ใช้ AI เพื่อแนะนำหรือสร้างคอร์สเฉพาะบุคคล เครื่องมืออย่าง Generative AI ยังช่วยวิเคราะห์จุดแข็ง–จุดอ่อนของพนักงาน และสร้าง Personalized Learning Path ที่ทำให้การเรียนรู้ตรงจุดและดึงดูดมากขึ้น
2. Employee-Centric Learning Experiences
การเรียนรู้ที่ “ยึดพนักงานเป็นศูนย์กลาง” กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญ แม้จะมีเพียง 12% ขององค์กรที่เข้าใจวิธีการเรียนรู้ที่พนักงานชอบจริงๆ แต่ Learning Experience Platforms (LXPs) เช่น EdCast และ Degreed กำลังช่วยสร้างเส้นทางการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล
3. Hybrid Learning Models
การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Hybrid) ผสาน ออนไลน์และการฝึกในงานจริง โดยสถิติชี้ว่า 68% ของพนักงานชอบการฝึกในงาน และ 58% ต้องการเรียนรู้ด้วยตนเองตามจังหวะ สำหรับองค์กรไทย Hybrid Model สามารถนำมาปรับใช้ได้ เช่น e-Learning คู่กับ On-the-job training
4. Upskilling และ Reskilling
ความสามารถในการปรับตัวขององค์กรขึ้นอยู่กับการ Upskill และ Reskill โดย 89% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน L&D ยืนยันว่าการพัฒนาทักษะใหม่ช่วยเสริมความสามารถในการจัดการการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแนวคิดจาก “ตำแหน่งงาน” ไปสู่ “ทักษะ” ทำให้องค์กรยืดหยุ่นมากขึ้น และยังเกิดอาชีพใหม่ เช่น Prompt Engineer
5. Leadership Development & Emotional Intelligence
ภาวะผู้นำที่แท้จริงไม่ได้วัดจากทักษะทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังรวมถึง EQ (Emotional Intelligence) ข้อมูลชี้ว่าเพียง 12% ของผู้นำ รู้สึกว่ามีทักษะครบทั้ง 5 ด้านที่ตนอยากพัฒนา โปรแกรมฝึกอบรมผู้นำในเอเชีย เช่น การพัฒนา “ผู้นำที่มีสติ” (Mindful Leadership) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น
6. Well-being & Mental Health Support
องค์กรเริ่มผสาน “การดูแลสุขภาพจิต” เข้ากับการฝึกอบรม เช่น การสอนเรื่อง mindfulness และ work-life balance ซึ่งสามารถช่วยเพิ่ม Productivity ได้สูงสุดถึง 55% ตัวอย่างเช่น บริษัทในญี่ปุ่นและสิงคโปร์ที่บรรจุ Wellness Program ควบคู่กับการอบรมพนักงาน
7. Microlearning และ Bite-sized Content
การเรียนรู้แบบสั้น (Microlearning) ช่วยให้พนักงาน จดจำได้มากขึ้น 25–67% และใช้เวลาเรียนน้อยกว่าการฝึกอบรมแบบเดิมถึง 40–60% การเรียนรู้ผ่านมือถือ เช่น คอร์สสั้น 5–10 นาที กำลังเป็นที่นิยมในหลายองค์กร เพราะตอบโจทย์ทั้ง “ความเร็ว” และ “ความยืดหยุ่น”
ความต้องการและความชอบของพนักงาน
การฝึกอบรมในองค์กรไม่ได้เป็นเพียงการให้ความรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความผูกพันและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน จากการวิจัยพบว่า 70% ของทักษะของพนักงานเรียนรู้จากการทำงานจริง (on-the-job learning) และเพียง 10% เท่านั้นที่มาจากการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนว่าการเรียนรู้ในบริบทงานจริงเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน
นอกจากนี้ การให้โอกาสในการพัฒนาทักษะยังช่วยให้พนักงานมีความผูกพันกับองค์กรสูงขึ้น โดยมี 80% ของพนักงานระบุว่าพวกเขาจะอยู่กับองค์กรต่อหากได้รับการฝึกอบรม และการฝึกอบรมอย่างเหมาะสมสามารถเพิ่ม engagement ของพนักงานได้ถึง 92% รวมถึง performance เพิ่มขึ้น 59%
สำหรับองค์กรไทย การสร้างโปรแกรมการฝึกอบรมที่ตอบโจทย์พนักงานแต่ละกลุ่มเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น หรือการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ให้พนักงานเรียนรู้ตามจังหวะของตนเอง (self-paced learning) ซึ่งช่วยให้การเรียนรู้สอดคล้องกับชีวิตประจำวันและเพิ่มโอกาสที่พนักงานจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้จริง
แนวทางปฏิบัติสำหรับองค์กรไทย:
- สำรวจความต้องการและรูปแบบการเรียนรู้ที่พนักงานชอบ
- ใช้ microlearning หรือ bite-sized content เพื่อให้เรียนรู้ได้สะดวก
- ผสมผสานการเรียนรู้ในงานจริงกับการอบรมออนไลน์
การจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎหมาย
การฝึกอบรมไม่เพียงเน้นเรื่องทักษะและความรู้เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับ การสร้างวัฒนธรรมการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน (compliance culture) ในองค์กร ปัจจุบัน 95% ขององค์กรทั่วโลกกำลังสร้างหรือมีวัฒนธรรม compliance อยู่แล้ว และ 91% ของบริษัทมีแผนจะนำ continuous compliance เข้ามาใช้ภายใน 5 ปี ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการฝึกอบรมด้านกฎหมายและข้อบังคับ
อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องว่างสำคัญที่ต้องแก้ไข โดยพบว่า เพียง 23% ของพนักงานให้คะแนนการฝึกอบรม compliance ว่า “Excellent” ซึ่งหมายความว่าหลายโปรแกรมยังไม่สามารถสร้าง engagement หรือความเข้าใจเชิงลึกให้กับพนักงานได้
สำหรับองค์กรไทย การฝึกอบรมด้าน compliance ควรปรับให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น เช่น การนำกฎหมายแรงงาน กฎระเบียบภาษี หรือมาตรฐานด้านความปลอดภัยมาประยุกต์ใช้ในเนื้อหาที่เข้าใจง่าย และใช้เทคนิค gamification หรือ scenario-based learning เพื่อให้พนักงานมีส่วนร่วมและเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน
ความท้าทายและโอกาส
แม้การฝึกอบรมจะมีประโยชน์มาก แต่หลายองค์กรยังเผชิญกับ ความท้าทายหลัก 4 ด้าน
- Engagement ของพนักงาน:
พนักงานมักมองว่าการฝึกอบรมไม่เกี่ยวข้องกับงานจริงหรือไม่น่าสนใจ การออกแบบหลักสูตรที่ตรงกับปัญหาและความท้าทายในงานจริงสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ - ข้อจำกัดด้านเวลา:
พนักงานต้องจัดสมดุลระหว่างงานประจำและการฝึกอบรม ทำให้การเรียนรู้แบบสั้น (microlearning) หรือการเรียนรู้ออนไลน์ตามจังหวะตัวเองเป็นทางเลือกที่เหมาะสม - การวัดผล:
หลายองค์กรยังประสบปัญหาในการวัด impact ของการฝึกอบรม การใช้ ตัวชี้วัดที่ชัดเจน เช่น ROI, KPI และ performance metrics จะช่วยประเมินผลได้ดียิ่งขึ้น - การอัปเดตเนื้อหา:
อุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เนื้อหาการฝึกอบรมจึงต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลและ AI สามารถช่วยอัปเดตเนื้อหาและปรับให้เหมาะสมกับพนักงานได้ทันเวลา
บทสรุปและคำแนะนำสำหรับองค์กรไทย
จากการวิเคราะห์เทรนด์อุตสาหกรรมการฝึกอบรมปี 2025 พบว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จจะเป็นองค์กรที่สามารถผสมผสานการเรียนรู้แบบไฮบริด และการออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตรงกับความต้องการของพนักงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การลงทุนในการพัฒนาทักษะ ความเป็นผู้นำ และสุขภาพจิตของพนักงาน จะส่งผลโดยตรงต่อ รายได้ต่อพนักงาน, productivity และ engagement ขององค์กร
สำหรับองค์กรไทย การสร้างโปรแกรมฝึกอบรมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านเนื้อหาและวิธีการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็น เพราะพนักงานต้องการ การเรียนรู้ที่มีความยืดหยุ่น, เข้าใจง่าย, และสามารถนำไปใช้ในงานจริงได้ทันที
นี่คือที่ที่ TCBA Academy เข้ามาช่วยองค์กรไทยได้อย่างเต็มศักยภาพ:
- การออกแบบโปรแกรมฝึกอบรมแบบเฉพาะองค์กร (Customized Corporate Training)
TCBA Academy ช่วยวิเคราะห์ความต้องการของพนักงานและองค์กร เพื่อออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ที่ตรงกับเป้าหมายธุรกิจและพัฒนาศักยภาพพนักงานแต่ละกลุ่ม
- โมเดลการเรียนรู้แบบไฮบริดและ microlearning
TCBA Academy ผสมผสานการเรียนออนไลน์และการฝึกอบรมในงานจริง พร้อมเนื้อหาย่อยง่าย (bite-sized content) เพื่อให้พนักงานเรียนรู้ได้ตามจังหวะของตนเอง
- การพัฒนาทักษะผู้นำและ well-being programs
เรามีหลักสูตรด้านภาวะผู้นำ และ emotional intelligence, และการดูแลสุขภาพจิตของพนักงาน ช่วยเพิ่ม engagement และ productivity ขององค์กร
สรุปได้ว่า การลงทุนในฝึกอบรมอย่างมีวิสัยทัศน์และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่เพียงแต่สร้างผลลัพธ์ด้านธุรกิจ แต่ยังเป็นการสร้างความผูกพันและความพึงพอใจของพนักงานTCBA Academy พร้อมเป็นพันธมิตรที่ช่วยองค์กรไทยออกแบบโปรแกรมฝึกอบรมที่เหมาะสมกับบริบทและความต้องการเฉพาะขององค์กร ทำให้องค์กรสามารถปรับตัวและเติบโตในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคง